tag:blogger.com,1999:blog-32217271240115637982024-02-18T19:28:15.488-08:00ภาษาบาลี พุทธศาสนสุภาษิตและคำศัพท์ทางพระพุทธศาสนาครูจักรกฤษณ์ ดาวไธสงhttp://www.blogger.com/profile/03118799737520634651noreply@blogger.comBlogger1125tag:blogger.com,1999:blog-3221727124011563798.post-78913554028440065482010-08-04T23:40:00.000-07:002010-08-04T23:40:25.360-07:00ภาษาบาลี พุทธศาสนสุภาษิตและคำศัพท์ทางพระพุทธศาสนา<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj5UL4aauVxeaYgV7RtLz1UBOw1lMpCiXPMS79QAcItR_yhP5BUgHVpNkJPFmIcPMMAuLF401JB79BgHGaUgP9JnGkLVHcuUaDw9_com6tnG0P6Gb5XFrGJopy4vcyOOz_igfWg_Smjz-D5/s1600/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E18.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" bx="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj5UL4aauVxeaYgV7RtLz1UBOw1lMpCiXPMS79QAcItR_yhP5BUgHVpNkJPFmIcPMMAuLF401JB79BgHGaUgP9JnGkLVHcuUaDw9_com6tnG0P6Gb5XFrGJopy4vcyOOz_igfWg_Smjz-D5/s320/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E18.jpg" /></a></div><span style="color: blue;">สาระสำคัญ</span><span style="color: #cc0000;">ให้ทำแบบทดสอบ 30 ข้อก่อนเรียนเสียก่อน และตรวจคำตอบว่าถูกกี่ข้อ และทำการทดสอบอีกครั้งเมื่อศึกษาเนื้อเรื่องจบ</span> <br />
<br />
ภาษาบาลีเป็นภาษาที่ใช้จารึกหลักคำสอนของพระพุทธศาสนา มีหลักเกณฑ์การอ่านที่ตายตัว ไม่ซับซ้อน การฝึกอ่านภาษาบาลีบ่อย ๆ จะทำให้เกิดความชำนาญ และสามารถอ่านคำสุภาษิต และคำศัพท์ทางพระพุทธศาสนาได้<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhSPc4Bj5koC2cG5Cb7o7yWMRcW2nKR1A0VQtjSg-xcKHKDU9OY2NayqsfgdzOug83uQy7trGaWFNF0amtyq1Qpdjo9QDw4QijARIGAwwLEaEdjGKk38RrX9DHBOe2Sq26MEeGmxLvzjGtk/s1600/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E4.jpg" imageanchor="1" style="clear: right; cssfloat: right; float: right; margin-bottom: 1em; margin-left: 1em;"><img border="0" bx="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhSPc4Bj5koC2cG5Cb7o7yWMRcW2nKR1A0VQtjSg-xcKHKDU9OY2NayqsfgdzOug83uQy7trGaWFNF0amtyq1Qpdjo9QDw4QijARIGAwwLEaEdjGKk38RrX9DHBOe2Sq26MEeGmxLvzjGtk/s320/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E4.jpg" /></a></div><span style="color: #274e13;">จุดประสงค์การเรียนรู้</span><br />
<br />
<span style="color: #990000;">จุดประสงค์ปลายทาง</span><br />
มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับภาษาบาลี พุทธศาสนสุภาษิต และคำศัพท์ทางพระพุทธศาสนา และสามารถนำไปใช้ได้อย่างถูกต้อง<br />
<span style="color: #990000;">จุดประสงค์นำทาง</span><br />
1. บอกหลักเกณฑ์การอ่านภาษาบาลีและอ่านภาษาบาลีได้อย่างถูกต้อง<br />
2. อธิบายความหมายของพุทธศาสนสุภาษิตที่กำหนดให้ และนำข้อคิดที่ได้ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้<br />
3. อธิบายความหมายของคำศัพท์ทางพระพุทธศาสนาที่กำหนดให้ และนำไปใช้ได้อย่างถูกต้อง<br />
<br />
<br />
<span style="color: red;">เลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว (ข้อละ 1 คะแนน)</span><br />
<span style="color: #b45f06;">จุดประสงค์นำทางข้อที่ 1 บอกหลักเกณฑ์การอ่านภาษาบาลีและอ่านภาษาบาลีได้ถูกต้อง</span><br />
1. เครื่องหมายพินทุ ( . ) อยู่ใต้พยัญชนะตัวใด พยัญชนะตัวนั้นเป็นตัวสะกด ข้อใดเขียนตามหลักการนี้<br />
ก. โหนตุ ข. พฺรหฺม<br />
ค. พยาโรสนา ง. ถูกทุกข้อ<br />
2. อปิคพฺดภ อ่านว่าอย่างไร <br />
ก. อะ – ปะ – คับ – โพ ข. อับ – ปะ – คับ – โภ <br />
ค. อับ – ปะ – คะ – พะ – โพ ง. อับ – ปะ – คับ – พะ – โพ<br />
3. เครื่องหมายนิคหิต ( ํ ) อยู่เหนือพยัญชนะให้ออกเสียงอย่างไร<br />
ก. เหมือนมีสระ ข. เหมือนมี ง สะกด<br />
ค. เหมือนมี ม สะกด ง. เหมือนมี ฌ สะกด<br />
4. อุปวเทยฺยุํ อ่านว่าอย่างไร<br />
ก. อุ – ปะ – วะ – เทย – ยุง ข. อุป – ปะ – วะ – เทย – ยุง<br />
ค. อุ – ปะ – วะ เท – ยะ – ยุง ง. อุป – ปะ – วะ – เท – ยะ – ยุง<br />
5. โยคา เว ชายะเต ภูริ เขียนแบบภาษาบาลีว่าอย่างไร<br />
ก. โยคฺ เว ชายฺเต ภูริ ข. โยคฺ เว ชายเต ภูริ<br />
ค. โยคา เว ชายฺเต ภูริ ง. โยคา เว ชายเต ภูริ<br />
6. เครื่องหมายพินทุในข้อใดใช้ ต่างจาก พวก<br />
ก. สมฺภเวสี ข. อนนุคิทฺโท<br />
ค. อภิสเมจฺจ ง. ทุกฺขมิจฺเฉยฺย<br />
7. ข้อใดอ่าน ไม่ถูกต้อง<br />
ก. ตสฺมา อ่านว่า ตัด – สมา ข. คเหตฺวา อ่านว่า คะ – เหต – วา<br />
ค. โลกสฺมึ อ่านว่า โล – กัด – สมิง ง. พฺยาโรสนา อ่านว่า พยา – โร – สะ – นา <br />
8. กะระณียะมัตถะกุสะเลนะ เขียนแบบบาลีอย่างไร<br />
ก. กรณีนมตฺถกุสฺเลน ข. กรณียมตฺถกุสเลน<br />
ค. กรณียมตถกุสเลน ง. กรณียมตถกุสเลน<br />
<br />
ใช้ข้อความต่อไปนี้ตอบคำถามข้อ 9 – 10<br />
1. พยัญชนะและสระทุกตัวอ่านออกเสียงตามรูปที่ปรากฏ<br />
2. คำที่มีสระผสมกับพยัญชนะแต่ไม่มีตัวสะกด ให้อ่านออกเสียงตามรูปที่ปรากฏ<br />
3. พยัญชนะที่ไม่มีรูปสระและสัญลักษณ์อื่นใดผสมอยู่ให้อ่านออกเสียงตามรูปที่ปรากฏ<br />
<br />
9. คำบาลีข้อใดใช้หลักเกณฑ์ดังกล่าว<br />
ก. อรุกถูลา ข. สุขิตตฺตา<br />
ค. สลฺลหุกวุตฺติ ง. เอกปุตฺตมนุรกฺเข<br />
10. คำว่า สุวโจ ใช้หลักเกณฑ์ข้อใด<br />
ก. ข้อ 1 และ 2 ข. ข้อ 2 และ 3<br />
ค. ข้อ 1 และ 3 ง. ข้อ 1, 2 และ 3<br />
<br />
<span style="color: #b45f06;">จุดประสงค์นำทางข้อ 2 อธิบายความหมายของพุทธศาสนสุภาษิตที่กำหนดให้ และนำข้อคิดที่ได้</span><br />
<span style="color: #b45f06;">ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้</span><br />
<br />
11. ข้อความในข้อใด ไม่จัด เป็นพุทธศาสนาสุภาษิต<br />
ก. ปัญญาประเสริฐกว่าทรัพย์ ข. ปัญญาเป็นแสงสว่างในโลก<br />
ค. อยู่ด้วยปัญญาต่างกับอยู่ด้วยการยึดมั่นถือมั่น ง. ปราชญ์กล่าวว่ามีชีวิตอยู่ด้วยปัญญาประเสริฐสุด<br />
12. สำนวนว่า ฟังไม่ได้ศัพท์ จับไปกระเดียด มีความหมายสัมพันธ์แบบ ตรงข้าม กับพระพุทธศาสนสุภาษิตข้อใด<br />
ก. สูสฺสูสํ ลภเต ปญญํ ข. ปญญาว ธเนน เวยฺโย<br />
ค. ปญฺญา โลกสฺมึ ปชฺโชโต ง. ปญฺญาชีวี ชีวิตมาหุ เสฏฐํ<br />
13. คำกล่าวใดสัมพันธ์กับพระพุทธสาสนสุภาษิตบทว่า ปญฺยษว ธเนน เสยฺโย<br />
ก. มีวิชาเหมือมีทรัพย์อยู่นับแสน<br />
ข. มีเงินนับว่าน้อง มีทองนับว่าพี่ ยากจนเงินทอง พี่น้องไม่มี<br />
ค. รู้อะไรให้กระจ่างเพียงอย่างเดียว แต่ให้เชี่ยวชาญเถิดจะเกิดผล<br />
ง. มรดกทรัพย์สินกินหมดได้ มรดกปัญญาไซร้กินเท่าไหร่ก็ไม่หมด<br />
14. คนที่นำข้อคิดที่ได้จากพระพุทธศาสนสุภาษิตบทว่า ปญฺญาชีวึ ชีวิตมาหุ เสฏฐํ เป็น<br />
แนวทางปฏิบัติ จะมีคุณลักษณะตามข้อใด<br />
ก. เป็นคนย้ำคิดย้ำทำ ข. เป็นคนละเอียดรอบคอบ<br />
ค. เป็นคนที่มีความมั่นใจในตัวเองสูง ง. ถูกทุกข้อ<br />
15. นักเรียนควรปฏิบัติตนอย่างไรจึงจะสอดคล้องกับพุทธศาสนสุภาษิตบทว่า สุสฺสูสํ ลภเต ปญฺญํ<br />
ก. ฟังหูไว้หู ข. มีจิตจดจ่ออยู่กับเรื่องที่ฟัง<br />
ค. คิดพิจารณาตามอย่างมีเหตุผล ง. ถูกทุกข้อ<br />
16. ความรู้ดูยิ่งล้ำ สินทรัพย์ คิดค่าควรเมืองนับ ยิ่งไซร้ เพราะเหตุจักอยู่กับ การอาด – มานา <br />
โจรจักเบียนบ่ได้ เร่งรู้เรียนเอา บทประพันธ์นี้กล่าวถึงพุทธศาสนสุภาษิตข้อใด<br />
ก. ปัญญาคือแสงสว่างในโลก ข. ปัญญาแลประเสริฐกว่าทรัพย์<br />
ค. แสงสว่างเสมอด้วยปัญญาย่อมไม่มี ง. การเป็นอยู่ด้วยปัญญาด้วยประเสริฐสุด<br />
17. นักเรียนประพฤติตนตามสำนวนหรือคำพังเพยในข้อใด ได้ชื่อว่า เป็นอยู่ด้วยปัญญา<br />
ก. น้ำขึ้นให้รีบตัก ข. จับแพะชนแกะ<br />
ค. ขายผ้าเอาหน้ารอด ง. บนข้าวผี ตีข้าวพระ<br />
18. อริยทรัพย์ หมายถึงข้อใด<br />
ก. ปัญญา ข. เงินทอง<br />
ค. อสังหาริมทรัพย์ ง. ข้อ ข และ ค<br />
19. การฟังที่จะก่อให้เกิดปัญญาจะต้องมีคุณธรรมข้อใดเป็นพื้นฐาน<br />
ก. ขันติ ข. สมาธิ<br />
ค. วิริยะ ง. ศรัทธา<br />
20. นักปราชญ์ตามหลักพระพุทธศาสนา หมายถึงใคร<br />
ก. คนเก่งและคนดี ข. คนที่มีความรู้มาก<br />
ค. คนที่มีความประพฤติดีงาม ง. คนที่สำเร็จการศึกษาระดับปริญญา<br />
<br />
<span style="color: #b45f06;">จุดประสงค์นำทางข้อ 3 อธิบายความหมายของคำศัพท์ทางพระพุทธศาสนาที่กำหนดให้ และ</span><br />
<span style="color: #b45f06;">นำไปใช้ได้อย่างถูกต้อง</span><br />
21. คำศัพท์ทางพระพุทธศาสนาบางคำเมื่อนำมาใช้ในภาษาไทยเป็นเวลานาน ๆ ก็มีความหมายคลาดเคลื่อนไปจากเดิมตามหลักพระพุทธศาสนา คำศัพท์ในข้อใดสอดคล้องกับข้อความนี้<br />
ก. ตัณหา ข. สันโดษ<br />
ค. สังสารวัฏฏ์ ง. ทุกขเวทนา<br />
22. คำศัพท์ทางพระพุทธศาสนาข้อใดเมื่อนำมาใช้ในภาษาไทยยังคงมีความหมายเหมือนเดิม<br />
ก. โมโห ข. สังเวช<br />
ค. กรรม ง. เจตนา<br />
23. เหมือนทัพพีไม่เคยรู้จักรสชาติของแกง ข้อความเปรียบเทียบนี้ต้องการแสดงความหมายของศัพท์ใด<br />
ก. มโนภาพข. เทวธรรม<br />
ค. โมฆบุรุษง. เดียรถีย์<br />
24. หลวงพ่อรูปนี้มีบารมีแก่กล้า สามารถล่วงรู้ความคิดของลูกศิษย์ได้ คำว่า บารมีในข้อความนี้หมายถึงข้อใด<br />
ก. คุณสมบัติที่ทำให้ยิ่งใหญ่ ข. คุณความดีที่บำเพ็ญอย่างยิ่งยวด<br />
ค. บุญกุศลที่ได้สั่งสมไว้ในอดีตชาติ ง. ถูกทุกข้อ<br />
25. คำว่า บารมี ในข้อใด มีความหมาย ต่างจากพวก<br />
ก. ชมพระบารมี ข. พ่ายแพ้แก่บารมี<br />
ค. พระบารมีปกเกล้าฯ ง. มีปัญญาบารมีแก่กล้า<br />
26. วิญญาณที่นำมาใช้ในภาษาไทยหมายถึงข้อใด<br />
ก. จิต ข. ภูตผีปีศาจ<br />
ค. ความรู้แจ้งอารมณ์ ง. การเห็น การได้ยิน<br />
27. คำว่า วิญญาณ ในข้อใดมีความหมายคงเดิมตามหลักพระพุทธศาสนา<br />
ก. เขามีวิญญาณนักสู้เต็มตัว ข. มโนวิญญาณเกิดขึ้นเมื่อธรรมารมณ์เกิดกับใจ<br />
ค. เมื่อคนเราตายวิญญาณจะล่องลอยออกจากร่าง ง. ถูกทุกข้อ<br />
28. คุณสะอิ้งเป็นคุณหญิงเฉิดไฉไลมีเกียรติยศ ชื่อเสียงในสังคม อยากจะเป็นอย่างนั้นบ้าง จึงวิ่งเต้นจนได้เป็นคุณหญิงสมใจอยาก ครั้นได้เป็นคุณหญิงแล้ว ต้องบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ต่าง ๆ เช่น เดินทางไปแจกผ้าห่มและยารักษาโรคแก่คนยากจนยังถิ่นทุรกันดารแทบไม่มีเวลาพักผ่อน บางครั้งก็ถูกหนังสือพิมพ์โจมตีว่าทำบุญเอาหน้า รู้สึกเบื่อหน่ายไม่อยากอยู่ในฐานะเช่นนั้นอีกต่อไป พฤติกรรมของคุณหญิงสะอิ้ง จัดเข้าในตัณหาข้อใด<br />
ก. กามตัณหา และภวตัณหา ข. ภวตัณหา และวิภวตัณหา<br />
ค. กามตัณหา และวิภวตัณหา ง. กามตัณหา ภวตัณหา และวิภาวตัณหา<br />
29. กรรมของฉันแท้ คำว่า กรรม ในข้อความนี้ หมายถึงอะไร<br />
ก. บาป ข. เคราะห์<br />
ค. ความตาย ง. การกระทำที่ส่งผลร้ายมายังปัจจุบัน<br />
30. มโนรถ หมายถึงข้อใด<br />
ก. ความจริงใจ ข. ความใฝ่ฝัน<br />
ค. ความอยากมี ง. การพิจารณาโดยแยบคาย<br />
<br />
<span style="color: red;">5.1 บทนำ</span> <br />
<br />
แต่เดิมภาษาบาลีเรียกว่า ภาษามาคธีหรือภาษามคธ ซึ่งเป็นภาษาที่พระพุทธเจ้าและเหล่าพระสาวกใช้ในการประกาศพระศาสนา และแม้พระพุทธองค์จะเสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้ว แต่พระสงฆ์ก็ยังคงใช้ภาษาบาลีเป็นภาษาในการประกาศพระศาสนา ต่อมาเมื่อมีการสังคยานาจัดหมวดหมู่หลักคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นพระไตรปิฏก พระเถระยุคต่อมาก็ได้ใช้ภาษาบาลีเป็นภาษาที่จารึกหลักคำสอนหรือพระไตรปิฏก โดยในคราวสังคยานาครั้งที่ 5 ณ ลังกาทวีป (ประเทศศรีลังกาปัจจุบัน) ได้มีการจารึกพระไตรปิฏกเป็นลายลักษณ์อักษรเป็นครั้งแรกด้วยอักษรสิงหล และเมื่อพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทได้เผยแผ่ไปยังประเทศต่าง ๆ เช่น พม่า ไทย เขมร เป็นต้น อักษรสิงหลซึ่งใช้จารึกพระไตรปิฏกก็ถูกเปลี่ยนไปเป็นอักษรของประเทศนั้น ๆ เพื่อสะดวกในการศึกษา เช่น ประเทศพม่าก็เปลี่ยนเป็นอักษรพม่า ประเทศเขมรก็เปลี่ยนเป็นอักษรขอม สำหรับประเทศไทยเดิมใช้พระไตรปิฏกอักษรขอม ต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2431 ในรัชสมัยของรัชกาลที่ 5 ก็ได้เปลี่ยนพระไตรปิฏกอักษรขอมเป็นอักษรไทยเป็นครั้งแรก<br />
แม้พระไตรปิฏกจะถุกจารึกด้วยอักษรขอมก็ตาม แต่ภาษาที่ใช้จารึกพระไตรปิฏกก็ยังคงเรียกว่าภาษาบาลีอยู่ดี ดังนั้น พุทธศาสนิกชนจึงจำเป็นต้องศึกษาภาษาบาลีให้มีความรู้ความเข้าใจ เพื่อจะสามารถศึกษาคัมภีร์พระไตรปิฏกอันจะเป็นประโยชน?ต่อการสืบทอดและจรรโลงรักษาสถาบันพระพุทธศาสนาให้ดำรงมั่นสืบต่อไป<br />
<br />
<span style="color: purple;">5.2 การอ่านภาษาบาลี</span><br />
พระไตรปิฏกในแระเทศต่าง ๆ ที่นับถือพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท แม้เราจะจารึกด้วยอักษรของประเทศนั้น ๆ แต่โดยเนื้อหาและการอ่านออกเสียงแล้วส่วนใหญ่จะมีความคล้ายคลึงกัน จะต่างกันบ้างก็เพียงบางศัพท์เท่านั้น<br />
สำหรับประเทศไทย กล่าวเฉพาะเรื่องการอ่านออกเสียง ภาษาบาลีจะอ่านออกเสียง 2 แบบคือ <br />
<span style="color: blue;">1. การอ่านออกเสียงแบบไทย</span> เป็นวิธีการอ่านออกเสียงที่นิยมใช้กันโดยทั่วไป โดยอ่านออกเสียงพยัญชนะและสระทุกตัวเหมือนเสียงพยัญชนะและสระในภาษาไทย เช่น พุทโธ อ่านว่า พุด – โท<br />
ธมฺโม อ่านว่า ทำ – โม สงฺโฆ อ่านว่า สัง – โค ฯลฯ<br />
<span style="color: blue;">2. การอ่านออกเสียงแบบบาลี</span> เป็นวิธีการอ่านออกเสียงที่ไม่ค่อยนิยมใช้กันมากนัก จะใช้เฉพาะในพระสงฆ์ฝ่ายธรรมยุตบางส่วนเท่านั้น โดยอ่านออกเสียงพยัญชนะและสระเหมือนแบบไทย ยกเว้นพยัญชนะบางตัว ได้แก่ ฑ ท ธ พ ๓ ให้อ่านออกเสียงดังนี้<br />
2.1 ตัว ฑ และ ท ให้อ่านออกเสียงเป็น ด แต่ออกเสียงเป็นวรรณยุกต์ต่ำ เช่น ปณฺฑิโต อ่านว่า ปัน – ดิ – โต ทุกฺโข อ่านว่า ดุ๊ก – โข<br />
2.2 ตัว ธ ให้อ่านออกเสียงเป็น ด ผสมกับ ห ในลำคอ (DH ในอักษรโรมัน เวลาอ่านให้ออกเสียงก้อง) เช่น ธนํ อ่านว่า ต๊ะ – นัง<br />
2.3 ตัว พ ให้อ่านออกเสียง บ แต่ออกเสียงเป็นวรรณยุกต์ต่ำ พาโล อ่านว่า บา – โล <br />
พหุ อ่านว่า บ๊ะ – หุ<br />
2.4 ตัว ภ ให้อ่านออกเสียงเป็น บ ในลำคอ (BH ในอักษรโรมัน) เช่น ภนฺเต อ่านว่า บัน – เต<br />
<br />
<span style="background-color: #cccccc; color: red;">1. หลักเกณฑ์การอ่านภาษาบาลี</span><br />
ภาษาบาลีที่ใช้เขียนด้วยอักษรไทยนั้นมีวิธีเขียน 2 แบบ คือ สะกดแบบไทย เช่น สัพเพ สัตตา อะเวรา โหนตุ และ สะกดแบบบาลี เช่น สพฺเพ สตฺตา อเวรา โหนตุ การอ่านภาษาบาลีที่เขียนสะกดแบบบาลีมีหลักเกณฑ์กว้าง ๆ ดังนี้<br />
1) คำที่มีสระผสมกับพยัญชนะแต่ไม่มีตัวสะกด ให้อ่านออกเสียงตามรูปที่ปรากฏ เช่น <br />
สุขิโน อ่านว่า สุ – ขิ – โน <br />
เขมิโน อ่านว่า เข – มิ – โน <br />
ทีฆา อ่านว่า ที – คา<br />
2) สระ อะ ในภาษาบาลีเมื่อผสมกับพยัญชนะจะไม่มีรูปปรากฏอยู่ ฉะนั้นพยัญชนะที่ไม่มีรูปสระและสัญลักษณ์อื่นใดผสมอยู่ ให้อ่านออกเสียงเป็น อะ เช่น<br />
อนวเสลา อ่านว่า อะ – นะ – วะ – เส – ลา<br />
สมาจเร อ่านว่า สะ – มา – จะ – เร<br />
วจสา อ่านว่า วะ – จะ – สา<br />
3) เครื่องหมายพินทุ ( . ) อยู่ใต้พยัญชนะตัวใด พยัญชนะตัวนั้นเป็นตัวสะกด (ใช้ในกรณีที่พยัญชนะตัวหน้ามีสระอื่นประกอบอยู่ด้วย) เช่น<br />
อภิสเมจฺจ อ่านว่า อะ – พิ – สะ – เมด – จะ<br />
โหนฺตุ อ่านว่า โหน – ติ<br />
กิญฺจิ อ่านว่า กิน – จิ<br />
<span style="color: orange;">หมายเหตุ เนื่องจาก สระ อะ ไม่มีรูปปรากฏให้เห้น เมื่อมีพินทุแสดงที่ตัวสะกด จึงออกเสียง</span><span style="color: orange;">เสมือนหนึ่งเปลี่ยนรูปสระ อะ เป็น ไม้หันอากาศ เช่น</span><br />
อปฺปคพฺโภ อ่านว่า อับ – ปะ – คับ – โพ<br />
สตฺตา อ่านว่า สัต – ตา<br />
สมฺปนฺโน อ่านว่า สัม – ปัน – โน<br />
ยกเว้น ถ้าพินทุอยู่ใต้พยัญชนะต้นตัวหน้า ถือว่าเป็นอักษรควบ อ่านออกเสียงพยัญชนะตัวที่ผสมอยู่กึ่งมาตรา (ครึ่งเสียง) เช่น<br />
คเหตฺวา อ่านว่า คะ – เหต – ตวา<br />
สนฺตินฺทฺริโย อ่านว่า สัน – ติน – ทริ – โย<br />
พฺรหฺม อ่านว่า พรัม – มะ<br />
พฺยาโรสนา อ่านว่า พยา – โร – สะ – นา<br />
4) เครื่องหมายนิคหิต ( ° ) อยู่เหนือพยัญชนะที่มีสระอื่นผสมอยู่ด้วย อ่านออกเสียงมี ง สะกด<br />
อุปวเทยฺยุํ อ่านว่า อุ – ปะ – วะ – เทย – ยุง<br />
โลกสุมิํ อ่านว่า โล – กัด – สมิง (ออกเสียง สะ เพียงครึ่งเสียง)<br />
สติํ อ่านว่า สะ – ติง<br />
<span style="color: red;">หมายเหตุ เนื่องจากสระ อะ ไม่มีรูปปรากฏ ดังนั้น เมื่อใช้นิคหิตบนตัวพยัญชนะที่ไม่มีรูปสระ จึงออกเสียงเสมือนเปลี่ยนรูป อะ เป็น ไม้หันอากาศ และมี ง สะกด เช่น</span><br />
ปทํ อ่านว่า ปะ – ทัง (ทํ = ทะ + ง = ทัง)<br />
สนฺตํ อ่านว่า สัน – ตัง (ตํ = ตะ + ง = ตัง)<br />
นิยํ อ่านว่า นิ – ยัง (ย = ยะ + ง = ยัง)<br />
<br />
<span style="color: purple;">2. ฝึกอ่านภาษาบาลี</span><br />
กรณียเมตตสูตร (บทสวดแผ่เมตตาให้สรรพสัตว์)<br />
<span style="color: #783f04;">เขียนสะกดแบบบาลี</span><br />
<span style="color: orange;">กรณียมตฺถกุสเลน ยนฺตํ สนฺตํ ปทํ อภิสเมจฺจ</span><br />
<span style="color: orange;"> สกฺโก อุชุ จ สุหุชู จ สุวโจ จสฺส มุทุ อนติมานี</span><br />
<span style="color: orange;"> สนฺตุสฺสโก จ นิปโก จ อปฺปกิจฺโจ จ สลฺลหุกวุตฺติ</span><br />
<span style="color: orange;"> สนฺตินฺทฺริโย จ นิบโก จ อปฺปคพโภ กุเลสุ อนนุคิทฺโธ</span><br />
<span style="color: orange;"> น จ ขูทฺทํ สมาจเร กิญฺจิ เยน วิญฺญู ปเร อุปวเทยฺยุํ</span><br />
<span style="color: orange;"> สุขิโน วา เขมิโน โหนฺตุ สพฺเพ สตฺตา ภวนฺตุ สุขิตตฺตา</span><br />
<span style="color: orange;"> เย เกจิ ปาณภูติตฺถิ ตสา วา ถาวรา วา อนวเสสา</span><br />
<span style="color: orange;"> ทีฆา วา เย มหนฺตา วา มชฺฌิมา รสฺสกา อณุกถูลา</span><br />
<span style="color: orange;"> ทิฏฐา วา เย จ อทิฏฐา เย จ ทูเร วสนฺติ อวิทูเร</span><br />
<span style="color: orange;"> ภูตา วา สมฺภเวสี วา สพฺเพ สตฺตา ภวนฺตุ สุขิตตฺตา</span><br />
<span style="color: orange;"> น ปโร ปรั นิกุพฺเพถ นาติมญฺเญถ กตฺถจิ นํ กิญจิ</span><br />
<span style="color: orange;"> พฺยาโรสนา ปฏีฆสญฺญา นาญฺญมญฺญสฺส ทุกฺขทิจฺเฉยฺย</span><br />
<span style="color: orange;"> มาตา ยถา นิยํ ปุตฺตํ อายุสา เอกปุตฺตมนุรกฺเข</span><br />
<span style="color: orange;"> เอวมฺปิ สพฺพภูเตสุ มานสมฺภาวเย อปริมาณํ</span><br />
<span style="color: orange;"> เมตฺตญฺจ สพฺพโลกสมิํ มานสมฺภาวเย อปริมาณํ</span><br />
<span style="color: orange;"> อุทฺธํ อโธ จ ติริยญฺจ อสมฺพาธํ อเวรํ อสปตฺตํ</span><br />
<span style="color: orange;"> ติฏฐญฺจรํ นิสินฺโน วา สยาโน วา ยาวตสฺส วิคตมิทฺโธ</span><br />
<span style="color: orange;"> เอตํ สติ อธิฎเฐยฺย พฺรหฺมเมตํ วิหารํ อิธมาหุ</span><br />
<span style="color: orange;"> ทิฏฐิญฺจ อนุปคมฺม สีลวา ทสฺสเมน สมฺปนฺโน</span><br />
<span style="color: orange;"> กาเมสุ วิเนยฺย เคธํ น หิ ชาตุ คพฺภเสยฺยํ ปุนเรตีติ.</span><br />
<br />
<span style="color: #b45f06;">เขียนสะกดแบบไทย</span><br />
<br />
<br />
<span style="color: #38761d;">กะระณียะมัตถะกุสะเลนะ ยันตัง สันตัง ปะทัง อภิสะเมจจะ</span><br />
<span style="color: #38761d;">สักโก อุชู จะ สุหุชู จะ สุวะโจ จัสสะ มุทุ อะนะติมานี</span><br />
<span style="color: #38761d;">สันตุสสะโก จะ สุภะโร จะ อัปปะกิจโจ จะ สัลละหุกะวุตติ</span><br />
<span style="color: #38761d;">สันตินทริโย จะ นิปะโก จะ อัปปะคัพโ กุเลสุ อะนะนุคิทโธ</span><br />
<span style="color: #38761d;">นะ จะ ขุททัง สะมาจะเร กิญจิ เยนะ วิญญู ปะเร อุปะวะเทยยุง</span><br />
<span style="color: #38761d;">สุขิโน วา เขมิโน โหนตุ สัพเพ สัตตา ภะวันตุ สุขิตัตตา</span><br />
<span style="color: #38761d;">เย เกจิ ปาณะภูตัตถิ ตะสา วา ถวะรา วา อะนะวะเสสา</span><br />
<span style="color: #38761d;">ทีฆา วา เย มะหันตา วา มัชฌิมา รัสสะกา อะณุกะถูลา</span><br />
<span style="color: #38761d;">ทิฏฐา วา เย จะ อะทิฏฐา เย จะ ทูเร วะสันต อะมิทูเร</span><br />
<span style="color: #38761d;">ภูตา วา สัมภะเวสี วา สัพเพ สัตตา สัตตา ภะวันตุ สุขิตัตตา</span><br />
<span style="color: #38761d;">นะ ปะโร ปะรัง นิกุพเพถะ นาติมัญเญถะ กัตถะจิ นัง กิญจิ</span><br />
<span style="color: #38761d;">พยาโรสะนา ปะฏีฆะสัญญา นาญญะมัญญัสสะ ทุกขะมิจเฉยยะ</span><br />
<span style="color: #38761d;">มาตา ยะถา นิยัง ปุตตัง อายุสา เอกะปุตตะมะนุรักเข</span><br />
<span style="color: #38761d;">เอวันปิ สัมพพะภูเตสุ มานะสัมภาวะเย อะปะริมาณัง</span><br />
<span style="color: #38761d;">เมตตัญจะ สัพพะโลกัสมิง มานะสัมภาวะเย อะปะริมาณัง</span><br />
<span style="color: #38761d;">อุทธัง อะโธ จะ ติริยัญจะ อะสัมพาธัง อะเวรัง อะสะปัตตัง</span><br />
<span style="color: #38761d;">ติฏฐัญจะรัง นิสินโน วา สะยาโน วา ยาวะตัสสะ วิคะตะมิทโธ</span><br />
<span style="color: #38761d;">เอตัง สะติง อะธิฏเฐยยะ พรัมมะเมตัง วิหารัง อิธะมาหุ</span><br />
<span style="color: #38761d;">ทิฏฐิญ จะ อะนุปะคัมมะ สีละวา ทัสสะเนนะ สัมปันโน</span><br />
<span style="color: #38761d;">กาเมสุ วิเนยยะ เคธัง นะ หิ ชาตุ คัพภะเสยยัง ปุนะเรตีติ.</span><br />
<br />
<span style="color: red;">คำแปล</span><br />
<br />
<span style="color: #4c1130;"> กิจซึ่งภิกษุผู้ฉลาดในประโยชน์ ใคร่จะบรรลุนิพพาน (บทอันสงบ) พึงกระทำก็คือ ภิกษุนั้นถึงเป็นผู้อาจหาญ เป็นคนตรง เป็นคนซื่อ เป็นผู้ว่าง่าย เป็นผู้อ่อนโยน เป็นผู้ไม่เย่อหยิ่ง เป็นผู้สันโดษ เป็นผู้เลี้ยงง่าย เป็นผู้มีกิจน้อย เป็นผู้ประพฤติเบา เป็นผู้มีอินทรีย์อันสงบ เป็นผู้มีปัญญารักษาตน เป็นผู้ไม่คะนอง และเป็นผู้ไม่พัวพันในสกุลทั้งหลาย</span><br />
<span style="color: #20124d;">ภิกษุนั้นไม่พึงประพฤติผิดอะไร ๆ อันเป็นเหตุให้ผู้รู้อื่น ๆ ติเตียนได้ พึงเจริญเมตตาว่า ขอให้สัตว์ทั้งปวงจงมีสุขกาย สุขใจ มีความเกษม สัตว์มีชีวิตทั้งหลายบรรดามี ประเภทเคลื่อนที่ได้ ประกอบอยู่กับที่มีลำตัวยาว ปานกลางหรือสั้น มีตัวใหญ่ ปานกลางหรือเล็ก มีตัวละเอียด (มองไม่เห็น) หรือมีตัวหยาบ (มองเห็น) เคยเห็นหรือไม่เคยเห็น อยู่ไกลหรือใกล้ เป็นผู้เกิดแล้วหรือกำลังแสวงหาที่เกิด ขอให้สัตว์ทั้งปวงเหล่านั้น จงมีความสุขกายสุขใจเถิด</span><br />
<span style="color: #0b5394;">บุคคลไม่พึงข่มเหงกัน ไม่พึงกดขี่กันว่าที่ไหน ไม่พึงก่อทุกข์ให้แก่กันและกัน เพราะความโกรธและเพราะความแค้น มารดาถนอมบุตรคนเดียว ผู้เกิดจากตนด้วยยอมสละชีวิตให้ ฉันใด บุคคลพึงเจริญเมตตาจิตไม่มีประมาณในสัตว์ทั้งปวง ฉันนั้น</span><br />
<span style="color: #bf9000;">บุคคลพึงเจริญเมตตาจิต ไม่มีประมาณ ไม่มีขอบเขต ไม่มีเวร ไม่มีศัตรู ไปในสัตว์โลกทั้งสิ้น ทั้งในทิศเบื้องบน ทิศเบื้องต่ำ และทิศเบื้องขวา ผู้เจริญเมจจาอย่างนี้ จะยืน เดิน นั่ง นอน ก็ปราศจากความง่วงตั้งสติไว้ได้ บัณฑิตทั้งหลายเรียกการเจริญเมตตาว่าเป็นพรหมวิหารธรรมในศาสนานี้</span><br />
<span style="color: #e06666;">บุคคลผู้นั้นละความเห็นผิดได้ เป็นผู้มีศีล สมบูรณ์ด้วยความเห็นชอบ กำจัดความยินดีในกามทั้งหลายได้ ย่อมไม่นอนในครรภ์ คือ ไม่เกิดเป็นมนุษย์อีกอย่างแน่นอน</span><br />
<br />
<span style="color: orange;">5.3 พุทธศาสนสุภาษิต</span><br />
<br />
<span style="color: #6aa84f;">พุทธศาสนสุภาษิต หมายถึง คำสุภาษิตทางพระพุทธศาสนา มีลักษณะเป็นข้อความสั้น ๆ กระชับ แต่มีความหมายลึกซึ้งและแฝงด้วยคติสอนใจ มีลักษณะคล้ายกับสุภาษิตและคำพังเพยในภาษาไทย พุทธศาสนสุภาษิตมีแหล่งที่มา 4 แหล่ง คือ</span><br />
1. พระดำรัสของพระพุทธเจ้าที่พระองค์ตรัสไว้ในสถานที่และโอกาสต่าง ๆ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า พุทธภาษิต<br />
2. คำกล่าวของพระสาวกหรือสาวิกาในสมัยพุทธกาล เช่น พระสารีบุตร พระธัมทินนาเถรี เป็นต้น เรียกว่า เถรภาษิต หรือ เถรีภาษิต<br />
3. คำกล่าวของนักบวช ฤาษี หรือพระโพธิสัตว์ในกำเนิดต่าง ๆ ที่ปรากฏในชาดกหรืออรรถกถามีชื่อเรียกต่างกันตามผู้กล่าว เช่น เทวตาภาษิต โพธิสัตว์ภาษิต เป็นต้น<br />
4. คำประพันธ์ของพระเถระของไทยในปัจจุบัน เช่น สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส เป็นต้น<br />
<span style="color: #990000;">คำสุภาศิตทั้ง 4 แหล่งนี้ รวมเรียกว่า พุทธศาสนสุภาษิต พุทธศาสนสุภาษิตในพระพุทธศาสนามีอยู่เป็นจำนวนมาก ในชั้นนี้กำหนดให้ศึกษาพุทธศาสนสุภาษิตเกี่ยวกับปัญญา โดยให้เลือกศึกษาเพียง 1 เรื่อง จากศาสนสุภาษิตต่อไปนี้</span><br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgxWURdHEhFjqYePSpZfOxaaTfqOQHAKUtOb72iw7bhW7LI6pzPVi5aFN1H2zwUrICy7ekPbqhc5_3tYwVlRSxGCYDNG75qYTs1GKU6mH0bh5oqat-E-JWuttZ1JmRjEVdKUlhlJMHRVZFx/s1600/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E19.jpg" imageanchor="1" style="clear: right; cssfloat: right; float: right; margin-bottom: 1em; margin-left: 1em;"><img border="0" bx="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgxWURdHEhFjqYePSpZfOxaaTfqOQHAKUtOb72iw7bhW7LI6pzPVi5aFN1H2zwUrICy7ekPbqhc5_3tYwVlRSxGCYDNG75qYTs1GKU6mH0bh5oqat-E-JWuttZ1JmRjEVdKUlhlJMHRVZFx/s320/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E19.jpg" /></a></div><span style="color: blue;">1. ปญฺญาชีวึ ชีวิตมาหุ เสฏฺฐํ นักปราชญ์กล่าวว่าชีวิตของผู้อยู่ด้วยปัญญาประเสริฐสุด</span> 1.1 ความหมาย <br />
1) นักปราชญ์ ตามหลักพระพุทธศาสนา คือ คนเก่งและคนดี หมายถึง ผู้ที่เพียบพร้อมด้วยความรู้ และความประพฤติดีทั้งทางกาย วาจา และใจ เป็นคนที่รู้จักรับผิดชอบชั่วดี และดำเนินชีวิตถูกต้องตามทำนองคลองธรรม<br />
2) การเป็นอยู่ด้วยปัญญา คือ การดำรงชีวิตอยู่ด้วยปัญญา ด้วยความไม่ประมาท ด้วยสติสัมปชัญญะ โดยรู้สึกตัวอยู่เสมอว่า กำลังทำ พูด หรือคิดสิ่งใด เพื่อจุดมุ่งหมายอะไร ในขณะเดียวกันก็ใช้ปัญญาพิจารณาไตร่ตรองให้รอบคอบเสียก่อนที่จะทำหรือพูด ซึ่งจะทำให้เกิดความผิดพลาดน้อยหรือไม่ผิดเลย สิ่งที่ทำหรือคำที่พูดก็จะเกิดผลดีแก่ตนเองและผู้อื่นอย่างแท้จริง<br />
3) ผู้ที่อยู่ด้วยปัญญา คือ ผู้ที่ดำรงชีวิตอยู่ด้วยความไม่ประมาท รู้จักควบคุมตนเองให้ดำเนินชีวิตไปในแนวทางที่ถูกต้อง ดีงาม และชอบธรรม ซึ่งมีลักษณะตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงกับผู้ที่อยู่ด้วยความประมาท ปราศจากปัญญา โดยไม่รู้ว่าสิ่งที่จะทำ คำที่พูดนั้นดีหรือชั่ว อยากทำอะไรก็ทำ อยากพูดอะไรก็พูด ไม่รู้จักควบคุมตนเอง การกระทำ การพูด หรือความคิดจึงผันแปรไปตามสิ่งรอบข้าง<br />
4) นักปราชญ์กล่าวว่าชีวิตของผู้อยู่ด้วยปัญญาประเสริฐสุดเหตุที่นักปราชญ์กล่าวเช่นนี้ เพราะผู้เป็นอยู่ด้วยปัญญา นอกจากจะทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของตนมีความเจริญก้าวหน้าและมีความสงบสุขแล้ว ยังทำให้สังคมเกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อยและสงบสุขอีกด้วย ส่วนผู้ที่เป็นอยู่โดยปราศจากปัญญานอกจากจะทำให้ตนเองเดือดร้อน และหาความสงบสุขในชีวิตไม่ได้แล้ว ยังอาจทำให้สังคมเกิดความสับสนวุ่นวาย ไม่มีความสงบสุขอีกด้วย<br />
<br />
1.2 จุดมุ่งหมาย<br />
พุทธศาสนสุภาษิตบทนี้มีจุดมุ่งหมายสำคัญ คือ มุ่งสอนให้เรารู้จักดำรงชีวิตอยู่ด้วยปัญญา ไม่ประมาท มีสติสัมปชัญญะอยู่ตลอดเวลา และเน้นให้เราเห็นว่า ปัญญานั้นมีคุณค่าและความสำคัญต่อชีวิต การทำกิจกรรมใด ๆ หรือคำพูดใด ๆ จะต้องใช้ปัญญาพิจารณาไตร่ตรองให้รอบคอบก่อนแล้วจึงทำหรือพูด<br />
<span style="color: blue;">2. สุสฺสูสํ ลภเต ปณฺญํ ฟังด้วยดีย่อมได้ปัญญา</span><br />
2.1 ความหมาย<br />
1) การฟัง ตามหลักพระพุทธศาสนาการสร้างปัญญาหรือความรู้มี 3 วิธี คือ การฟัง การคิด และการลงมือปฏิบัติ การฟังเป็นวิธีการสร้างปัญญาที่ควรฝึกให้เกิดขึ้นเป็นอันดับแรก เพื่อเป็นพื้นฐานในการสร้างปัญญาขั้นต่อ ๆ ไป ปัญญาที่เกิดจากการฟัง รวมทั้งการอ่านและการศึกษาเล่าเรียน เรียกว่า สุตมยปัญญา<br />
2) การฟังด้วยดีย่อมได้ปัญญา การฟังด้วยดี คือ การตั้งใจฟัง มีจิตจดจ่ออยู่กับเรื่องที่จะฟัง ฟังด้วยอาการสงบ แล้วส่งจิตไปตามเรื่องที่ฟัง กล่าวโดยสรุป การฟังด้วยดี ก็คือ การฟังที่มีสมาธิเป็นพื้นฐานนั่นเอง การฟังด้วยดีที่จะทำให้เกิดปัญญา นอกจากจะต้องอาศัยสมาธิเป็นพื้นฐานแล้ว ยังจะต้องรู้จักสรุปเรื่องที่ฟังหรืออ่านเป็นตอน ๆ นำมาจัดระบบและเก็บเข้าสู่ความจำ ตลอดจนนำเรื่องที่จำนั้นมาคิดพิจารณาทบทวนในบางโอกาส อนึ่งการฟังด้วยดีก่อให้เกิดปัญญาต้องเป็นเรื่องที่มีประโยชน์และมีคุณค่าในทางสร้างสรรค์สังคมให้มีความสงบสุข ส่วนเรื่องที่มีลักษณะตรงกันข้ามกับเรื่องดังกล่าวข้างต้นไม่ควรฟังและไม่ควรจดจำและนำมาคิด เพราะไม่มีประโยชน์อะไรเลย เรื่องเหล่านี้ เช่น ข่าวลือหรือการนินทาว่าร้ายผู้อื่น ซึ่งทำให้เขาเกิดความเสียหาย เรื่องเพ้อเจ้อไม่มีสาระ เรื่องที่ไม่มีมูลความจริง เรื่องที่ก่อให้เกิดความแตกแยก เรื่องที่เป็นความลับของผู้อื่นที่เขาไม่อยากเปิดเผย เป็นต้น<br />
หากจำเป็นต้องฟังเรื่องเหล่านี้เพราะหลีกเลี่ยงไม่ได้ ควรเป็นไปด้วยความระมัดระวัง และควรใช้ปัญญาพิจารณาไตร่ตรองให้รอบคอบเสียก่อน และหากจะจำเรื่องดังกล่าวไว้ก็ควรเป็นไปเพื่อปรับปรุงตนเองให้ดีขึ้นเท่านั้น<br />
2.2 จุดมุ่งหมาย<br />
พุทธศาสนสุภาษิตบทนี้มีจุดมุ่งหมายสำคัญ คือ มุ่งชี้ให้เห็นความสำคัญของการฟังว่าเป็นวิธีการสร้างปัญญาหรือความรอบรู้ที่สำคัญวิธีหนึ่ง และเน้นให้เห็นว่าในการฟังที่ก่อให้เกิดปัญญานั้น ผู้ฟังต้องเป็นผู้ฟังที่ดี โดยมีความตั้งใจ รู้จักสงบ จัดระบบ และเก็บเข้าสู่ความจำ รวมทั้งนำมาคิดทบทวนในบางโอกาส<br />
<span style="color: blue;">3. ปญฺญาว ธเนน เสยฺโย ปัญญาแลประเสริฐกว่าทรัพย์</span><br />
3.1 ความหมาย<br />
1) ปัญญา หมายถึง ความรอบรู้ ความรู้เข้าใจอย่างชัดเจน สามารถแยกแยะเหตุผล คุณโทษ ประโยชน์หรือมิใช่ประโยชน์ ปัญญามี 3 ประเภท คือ<br />
ก. สุตมยปัญยา คือ ปัญญาที่เกิดจากการฟัง การอ่าน และการศึกษาเล่าเรียน<br />
ข. จินตามายปัญญา คือ ปัญญาที่เกิดจากการคิดพิจารณาไตร่ตรองเหตุผลของข้อมูลที่ได้จากการฟัง การอ่าน และการศึกษาเรียน<br />
ค. ภาวนายปัญญา คือ ปัญญาที่เกิดจากการลงมือปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆ<br />
2) ทรัพย์ หมายถึง ทรัพย์สินทุกอย่างทั้งที่เป็นสังหาริมทรัพย์และอสังหาริมทรัพย์ เช่น เงินทอง เครื่องประดับ ที่ดิน บ้าน รถยนต์ เป็นต้น<br />
3) ปัญญาประเสริฐกว่าทรัพย์ การมีทรัพย์สินต่าง ๆ อย่างครบถ้วนสมบูรณ์หรือมากมาย ทางโลกจะกำหนดว่าเป็นผู้ที่ร่ำรวยหรือมีอันจะกิน แต่พระพุทธศาสนสุภาษิตถือว่า ทรัพย์สินเหล่านี้เป็นสิ่งที่สามารถสูญหายหรือหมดไปได้ บางอย่างโจรสามารถขโมยไปได้ จึงเรียกว่าเป็นทรัพย์ภายนอก แต่ปัญญาซึ่งเกิดจากแหล่งต่าง ๆ ดังกล่าวข้างต้นนั้นเป็นสิ่งประจำตัวเรา มีลักษณะแตกต่างจากทรัพย์สินเงินทองหรือทรัพย์จากภายนอกทั่วไป คือ โจรไม่สามารถขโมยไปได้ ใช้เท่าไรก็ไม่หมด สูญหายได้ยาก ที่สำคัญคือสามารถใช้แสวงหาทรัพย์สินเงินทองได้อีกด้วย พระพุทธศาสนาจึงเรียกปัญญาว่าเป็นทรัพย์ภายในหรืออริยทรัพย์ ประการหนึ่ง และกำหนดว่าเป็นสิ่งประเสริฐกว่าทรัพย์ภายนอกเพราะคุณสมบัติดังกล่าวแล้ว<br />
3.2 จุดมุ่งหมาย<br />
พุทธศาสนสุภาษิตบทนี้มีจุดมุ่งหมายสำคัญ คือ มุ่งชี้ให้เห็นความสำคัญของปัญญาว่าเป็นทรัพย์ภายในที่ประเสริฐกว่าทรัพย์ภายนอก อันได้แก่ ทรัพย์สินเงินทอง อีกทั้งเน้นให้เรารู้จักสร้างปัญญาให้เกิดมีขึ้นในตนตามวิธีการดังกล่าวข้างต้นให้มาก เพื่อนำไปใช้ในการแสวงหาทรัพย์ภายนอก และเพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตในอนาคตข้างหน้าต่อไป<br />
<br />
<span style="color: orange;">5.4 คำศัพท์ทางพระพุทธสาสนา</span><br />
<br />
คำศัพท์ทางพระพุทธศาสนา เป็นคำศัพท์ที่มีรากศัพท์มาจากภาษาบาลีเป็นหลัก ในภาษาไทยมีคำศัพท์ทางพระพุทธศาสนาปะปนอยู่เป็นจำนวนมาก บางคำเป็นคำศัพท์เฉพาะทางพระพุทธศาสนา เมื่อนำมาใช้นานเข้าอาจมีความหมายเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ซึ่งจะมีผลทำให้พุทธศาสนิกชนนำไปประพฤติปฏิบัติคลาดเคลื่อนไปจากหลักธรรม ด้วยเหตุนี้จึงจำเป็นที่พุทธศาสนิกชนควรศึกษาคำศัพท์ทางพระพุทธศาสนาให้เข้าใจเพื่อจะได้นำไปใช้และสื่อความหมายได้ถูกต้อง<br />
คำศัพท์ทางพระพุทธศาสนาที่กำหนดให้เรียนในชั้นนี้ ได้แก่<br />
<span style="color: red;">1. บารมี</span> บารมี ในความหมายเดิมตามหลักพระพุทธศาสนา หมายถึง คุณความดีที่ควรบำเพ็ญอย่างยิ่งยวด เพื่อบรรลุจุดมุ่งหมายอันสูงยิ่ง คือ การตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า หรือในอีกความหมายหนึ่ง บารมี หมายถึง คุณธรรมอันประเสริฐที่พระพุทธเจ้าได้ทรงบำเพ็ญไว้ในกาลก่อน ตั้งแต่สมัยยังทรงเป็นพระโพธิสัตว์ในพระชาติต่าง ๆ บารมีมี 10 ประการ เรียกว่า ทศบารมี ได้แก่<br />
<span style="color: blue;">1.1 ทาน</span> คือ การให้ พระเวสสันดร ทรงบำเพ็ญเป็นหลัก<br />
<span style="color: blue;">1.2 ศีล</span> คือ การรักษากายวาจาให้เรียบร้อย พระภูริทัตต์ ทรงบำเพ็ญเป็นหลัก<br />
<span style="color: blue;">1.3 เนกขัมมะ</span> คือ การออกบวช พระเตมีย์ ทรงบำเพ็ญเป็นหลัก<br />
<span style="color: blue;">1.4 ปัญญา</span> คือ ความรอบรู้ พระมโหสถ ทรงบำเพ็ญเป็นหลัก<br />
<span style="color: blue;">1.5 วิริยะ</span> คือ ความเพียร พระมหาชนก ทรงบำเพ็ญเป็นหลัก<br />
<span style="color: blue;">1.6 ขันติ</span> คือ ความอดทน พระจันทกุมาร ทรงบำเพ็ญเป็นหลัก<br />
<span style="color: blue;">1.7 สัจจะ</span> คือ ความจริง พระวิทูร ทรงบำเพ็ญเป็นหลัก<br />
<span style="color: blue;">1.8 อธิษฐาน</span> คือ ความตั้งใจแน่วแน่ พระเนมิราช ทรงบำเพ็ญเป็นหลัก<br />
<span style="color: blue;">1.9 เมตตา</span> คือ ความรักใคร่ปรารถนาดี พระสุวรรณสาม ทรงบำเพ็ญเป็นหลัก<br />
<span style="color: blue;">1.10 อุเบกขา</span> คือ ความวางใจเป็นกลาง พระนารทะ ทรงบำเพ็ญเป็นหลัก<br />
<span style="color: #783f04;">ปัจจุบัน บารมี ที่นำมาใช้ในภาษาไทย หมายถึง คุณสมบัติที่ทำให้ยิ่งใหญ่ บุคคลใดที่ทำงานใหญ่ได้สำเร็จ แสดงว่าบุคคลนั้นมีบารมี บารมีในความหมายนี้จะเน้นไปที่บารมีทางด้านทรัพย์สิน เงินทอง หรือ บริวาร </span><br />
<br />
<span style="color: red;">2. วิญญาณ</span><br />
<span style="color: #e69138;">วิญญาณในความหมายเดิมตามหลักพระพุทธสาสนา หมายถึง การรับรู้อารมณ์โดยผ่านอายตนะอารมณ์ คือ สิ่งที่รับรู้ ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส (เช่น ร้อน เย็น อ่อน แข็ง) และธรรมารมณ์ (สิ่งที่ใจนึกคิด) อายตนะ คือ สื่อหรือเครื่องมือที่รับรู้ ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ วิญญาณหรือการรับรู้เกิดขึ้นเมื่อมีอารมณ์มากระทบหรือสัมผัสอายตนะ วิญญาณจึงมี 6 อย่าง ตามอายตนะและอารมณ์ที่เกี่ยวข้อง คือ</span><br />
<span style="color: #38761d;">1. เมื่อรูปมากระทบตา เกิดการรับรู้ทางตา หรือ การเห็น เรียกว่า จักขุวิญญาณ</span><br />
<span style="color: #38761d;"> 2. เมื่อเสียงมากระทบหู เกิดการรับรู้ทางหู หรือการได้ยิน เรียกว่า โสตวิญญาณ</span><br />
<span style="color: #38761d;"> 3. เมื่อรูปมากระทบจมูก เกิดการรับรู้ทางจมูก หรือ การได้กลิ่น เรียกว่า ฆานวิญญาณ</span><br />
<span style="color: #38761d;"> 4. เมื่อรูปมากระทบลิ้น เกิดการรับรู้ทางลิ้น หรือ การลิ้มรส เรียกว่า ชิวหาวิญญาณ</span><br />
<span style="color: #38761d;"> 5. เมื่อสัมผัสมากระทบกาบ เกิดการรับรู้ทางกาย หรือการสัมผัส เรียกว่า กายวิญญาณ</span><br />
<span style="color: #38761d;"> 6. เมื่อธรรมารมณ์เกิดกับใจ เกิดการรับรู้ทางใจ หรือ การคิด เรียกว่า มโนวิญญาณ กล่าวโดยสรุป</span> <br />
<span style="color: red;"> วิญญาณ คือ ความรู้ที่เกิดขึ้นเมื่ออายตนะภายในและอายตนะภายนอกกระทบกัน ส่วน วิญญาณ ที่นำมาใช้ในภาษาไทย หมายถึง สิ่งที่เชื่อกันว่ามีอยู่ในกายเมื่อมีชีวิต เมื่อตายจะออกจากกาย ล่องลอยไปหาที่เกิดใหม่ ภูตผีปีศาจ หรือหมายถึง จิตใจ เช่น มีวิญญาณนักสู้ มีวิญญาณศิลปิน เป็นต้น</span><br />
<br />
<span style="color: #660000;">นอกจากนี้ยังมีคำศัพท์ทางพระพุทธศาสนาที่น่าสนใจอื่น ๆ อีกได้แก่</span><br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"></div>1. กรรมเวร (กำ – เวน) การกระทำที่ส่งผลร้ายมายังปัจจุบัน หรือซึ่งจะส่งผลร้ายต่อไปในอนาคต เช่น กรรมเวรของฉันแท้, บาป, เคราะห์ เช่น คนมีกรรม, ความตาย<br />
<br />
2. กำหนัด (กำ – หนัด) ความปรารถนาในทางกาม<br />
3. จรณะ (จะ – ระ – นะ) ควาปมระพฤติในทางพระพุทธศาสนา หมายถึง การปฏิบัติเพื่อบรรลุคุณความดี<br />
4. ตัณหา (ตัณ – หา) ความอยากมี 3 ป ระเภท คือ<br />
(1) กามตัณหา ความอยากได้ในกาม<br />
(2) ภวตัณหา ความอยากมีอยากเป็น<br />
(3) วิภวตัณหา ความอยากให้ไม่มี, อยากให้หมดไป<br />
5. ทุกขเวทนา (ทุก–ขะ–เว–ทะ–นา) ความรู้สึกไม่สบาย ความรู้สึกลำบาก<br />
6. มโนรถ (มะ – โน – รด) ความหวัง ความใฝ่ฝัน ความปรารถนา<br />
7 ยมกปาฏิหาริย์ (ยะ-มก-ปา-ติ-หาน) ปาฏิหาริย์ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงเป็นคู่ ๆ ที่ต้นมะม่วงแห่งหนึ่งใน เมืองสาวัตถี โดยทรงบันดาลท่อน้ำท่อไฟออกจากส่วนของพระกายเป็นคู่ ๆ กัน ซึ่งตลอดพระชนมชีพทรงแสดงครั้งเดียว<br />
<br />
8. โยนิโสมนสิการ (โย – นิ – โส – มะ – นะ – สิ – กาน) การพิจารณาสิ่งต่าง ๆ โดยแยบคายมีความลึกซึ้งทางใจ<br />
9. เวทนา เว – ทะ – นา) ความเสวยอารมณ์, ความรู้สึกสุข ทุกข์ <br />
เฉย ๆ ในภาษาไทยใช้ความหมายว่า ความทรมาน, ความสงสาร<br />
10. สุขเวทนา (สุก–ขะ–เว–ทะ–นา) มีความรู้สึกสุขสบาย<br />
11. อทุกขมสุขเวทนา (อะ–ทุก–ขะ–มะ–สุก – ขะ–เว–ทะ–นา) มีความรู้สึกไม่ทุกข์ ไม่สุข เฉย ๆ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า อุเบกขาเวทนา<br />
12. อนิฏฐารมณ์ อะ – นิด – ถา – รม) อารมณ์ที่ไม่น่ายินดี เช่น เมื่อได้กลิ่นหนูเน่าใจก็จะเกิดอารมณ์ไม่น่ายินดีขึ้น เป็นต้น<br />
13. อนุโลม (อะ – นุ – โลม) สิ่งที่ใช้แทนกันได้ตามความเหมาะสม เช่น ใช้คำว่าสตรีแทนคำว่า ผู้หญิง เป็นต้น<br />
14. อริยทรัพย์ (อะ – ริ – ยะ – ซับ) ทรัพย์อันประเสริฐ 7 ประการคือ<br />
1) ศรัทธา ความเลื่อมใส,เชื่อสิ่งที่ควรเชื่อ<br />
2) ศีล การรักษากาย วาจา ให้เรียบร้อย<br />
3) หิริ ความละลายต่อบาป<br />
4) โอตตัปปะ ความเกรงกลัวต่อบาป<br />
5) พาหุสัจจะ การศึกษาเล่าเรียนคือได้ยินได้ฟังมาก<br />
6) จาคะ การบริจาค<br />
7) ปัญญา ความรอบรู้สิ่งที่เป็นประโยชน์และไม่เป็นประโยชน์<br />
15. อิฏฐารมณ์ (อิด – ถา – รม) ความอันน่ายินดี เช่น ได้กลิ่นหอมของดอกไม้ใจก็จะเกิดอารมณ์อันนายินดี เป็นต้นครูจักรกฤษณ์ ดาวไธสงhttp://www.blogger.com/profile/03118799737520634651noreply@blogger.com0